เล่าสู่กันฟังครับ
มดแดง |
ผมเป็นริดสีดวงมาประมาณ 8 ปีครับ (มีติ่งยื่นออกมาทุกครั้งที่ถ่าย แล้วก็ใช้นิ้วดันกลับได้) เรื่องอาหารไม่ค่อยได้ระวังครับ ทานหมดทุกอย่าง ทำให้บางครั้งเกิดอาการท้องผูกบ้าง ท้องเสียบ้าง ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา (ถ่ายเสร็จก็ดันติ่งนั้นเข้าไป) เคยเกิดอาการเลือดหยดออกมา หลังจากถ่ายเสร็จเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนครับ เป็นอยู่ 2-3 วันก็หายเป็นปกติ ครั้งนี้ (เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 55) ก็เบ่งถ่ายอีกครั้ง (ช่วงนี้ดื่มน้ำน้อย ทำให้อึก้อนแรกที่ออกมาจะแข็งครับ) ปรากฎว่าเลือดหยดเมื่อถ่ายเสร็จครับ -- ก็เลยใช้กระดาษทิชชูซับเลือด แล้วใช้พร็อคโตซิดิลแบบขี้ผึ้งทา แล้วค่อยดันติ่งกลับเข้าไป ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ลดอาหารหนัก งดดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์ / ทานข้าวขาวน้อยลง และดื่มน้ำต่อวันมากขึ้น อาการดีขึ้นภายใน 2 วันครับ (แต่หลังถ่าย เอาทิชชูซับดู ยังมีรอยเลือดอยู่ แต่ไม่หยดแล้ว) พร้อมๆไปกับได้ข้อมูลประสบการณ์จากเพื่อนๆในนี้ เลยไปซื้อยาของภูหลวงมาลองทานดู (ตอนนี้ทานไป 6 วันแล้ว) แต่ยังไม่เห็นผลอะไรนะครับ เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว ดันท้องเสียเมื่อ 2 วันก่อน ถ่ายเสียอยู่ 3 ครั้ง รู้ตัวเลยว่าต้องแย่ลงแน่ (เลือดคงหยดอีก) แล้วก็จริงอย่างที่คิดครับ เกิดอาการหลังจากหยุดถ่ายเสีย 1 วัน เลือดสดหยดตามหลังการถ่าย แถมรู้สึกเจ็บเพิ่มขึ้นอีก เลยคิดว่าต้องเริ่มนับ 1 ใหม่อีกแล้ว (ปกติเป็นคนธาตุอ่อนครับ) ผมไม่กลัวเลือดออกนะครับ เพราะรู้สภาวะร่างกายของเราดี มีแผลก็ต้องมีเลือดออกเป็นเรื่องปกติ แต่กังวลเรื่องธาตุของตัวเองนี่แหละครับ ตอนนี้ (6 สิงหาคม 55) อาการท้องเสียหายไปแล้ว แต่ถ้าเพื่อนๆรู้ หรือเจ้าหน้าที่รู้ ช่วยบอกผมทีครับ ว่ามีวิธีรักษาแผลบ้างมั้ย นั่งถ่ายทีไร ติ่งก็จะโผล่ออกมา จะเจ็บก็ตอนที่มันกำลังโผล่ออกนี่ล่ะครับ (คงจะมีแผล) พอโผล่ออกมามันก็ตึง ถ่ายไม่แข็ง หรือไม่เบ่ง ก็ยังเจ็บ แต่ยังคงทานยาภูหลวงทุกวันครับ หวังว่าแผลเลือดออกจะดีขึ้นในเร็ววัน เล่าสู่กันฟังครับ มดแดง |
เจ้าหน้าที่ |
วิธีรับประทานยา..... กรณี คนธาตุปกติ หรือ ธาตุแข็ง ..... การทานยานะคะ.. ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงคะ (ควรทานยาก่อนอาหารเพราะร่างกายจะได้นำยาไปใช้ได้เต็มที่คะ ถ้าทานพร้อมมื้ออาหารประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปด้วย) ... กรณี คนธาตุอ่อน หรือ ถ่ายมากกว่าวันละ 1 ครั้ง ท้องเสียบ่อย..... การทานยานะคะ.. ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลา หลังอาหาร 2 ชั่วโมงค่ะ ถ้าช่วงนี้มีอาการเจ็บมาก ให้ทาน ยาของเราคู่กับยาแก้อักเสบ แต่ยาทานยาแก้อักเสบแค่ 7 วันพอ เพราะเป็นยาปฎิชีวนะ (ยาปฎิชีวนะ ถ้าทานมากเกินไปจะเกิดการสะสมคะ ไม่ดีต่อร่างกาย)หลังจากนั้นแล้ว ( 7 วัน) ก็ให้ทานแต่ยาของบริษัทอย่างเดียว -------------------------------------------- -- ดูแลตัวเองอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเสีย ธาตุปกติดีที่สุด -- อาหาร แสลงที่พบในหลายๆคน นะคะ ... บางคนก็ไม่แสลงนะคะ ... เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ .. เนื้อวัว ของหมักดอง ปูเค็ม ปลาร้า ปลาเค็ม ปลาหมึก กุ้ง หน่อไม้ ข้าวเหนียว แกงไตปลา น้ำบูดู แกงเหลือง .. อาหารรสชาติเผ็ด หรือเปรี้ยวมากเกินไป ... ถ้างดได้ควรงดก่อน -- เรื่อง อากัปกิริยา ก็มีส่วนนะคะ ที่จะทำให้หายเร็วหรือช้า .... ควรจะดูแลตัวเองร่วมด้วยก็จะหายไวขึ้นค่ะ .... ถ้าต้องนั่งทำงานทั้งวัน ให้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดได้มีการไหลเวียนไม่ถูกกดทับนานเกินไป.... ถ้าต้องเดินนานๆ ก็อย่านานเกิน เพราะมันจะมีการเสียดมีนาน จะยิ่งทำให้อักเสบมากขึ้น ... พยายาม อย่า ยืน เดิน นั่ง นานเกิน ให้ เปลี่ยนท่าบ้าง การนอน ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้พยายามนอนคว่ำหรือนอนตะแครง...และพยายามอย่าก้มยกของ หนักด้วยนะคะ .. เพราะจะดันให้หัวริดสีดวงออกมาง่าย -- ถ้ามีเวลาลองนั่งแช่น้ำอุ่นบ้างนะคะ ... จะช่วยให้เส้นเลือดคลายตัวไม่เจ็บมาก .. ถ้า กรณีที่มีเม็ดมีหัวออกมาแล้วเราสรุปเวลาที่แน่นอนให้ไม่ได้คือเพราะขึ้นอยู่ กับปัจจัยหลายๆอย่าง แต่รับรองคะว่าหายแน่คะ ปัจจัยที่ว่านะคะ … 1. พฤติกรรมการรับประทานยา .. ถ้าทานต่อเนื่องและทานได้วันละ 3 เวลา ครั้งละ 2 แคปซูล ช่วงที่ท้องว่าง (เนื่องจากยาไม่มีฤทธิ์กัดกระเพาะ) และ ถ้าทานตอนที่ท้องว่างพอแคปซูลละลายตัวยาจะได้ดูดซึมเลย ประสิทธิภาพของยาก็จะออกได้ประมาณ 80-90 % แต่ถ้าทานตอนช่วงที่ทานอาหารแล้ว.. ยาอาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่เนื่องจากอาหารดูดซึมตัวยาไปบางส่วนแล้ว ... ประสิทธิภาพอาจเหลือแค่ 50 % .... และบางคนลืมทานยาบ่อยมั้ย ดังนั้นเลยไม่สามารถบอกเลยคะว่าทานนานแค่ไหน แต่ถ้าทานต่อเนื่อง เข้าเดือนที่ 2-3 ก็น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วคะ .. บางคนก็เร็วกว่านั้น 2. บริเวณที่เกิดการอักเสบหรือบริเวณเส้นเลือดดำที่โป่งพองแล้วแตกหรืออักเสบทำให้เกิดเม็ดเกิดหัว .... เพราะถ้าหัวริดสีดวงหรือบริเวณที่อักเสบที่เส้นเลือดดำภายใน ถ้าเกิดบริเวณที่อุจจาระไปโดนเวลาถ่ายก็มีโอกาสเจ็บอยู่แล้วคะและเวลาเวลา ขับถ่ายอุจจาระ อุจจาระก็ต้องไปโดนไปเสียดสีทุกครั้งดังนั้นแผลก็จะแห้งช้ากว่า คนที่บาดแผลหรือบริเวณที่อักเสบหรือตำแหน่งที่เกิดหัวริดสีดวงไม่ใช่บริเวณ ที่เวลาถ่ายอุจจาระแล้วอุจจาระไปโดน ...... 3.เป็นมานานแล้วหรือยัง... บาง คนเป็นริดสีดวงแล้วไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคือ เกิดริดสีดวงภายในก่อนเป็นมานาน แล้วพอหัวที่อยู่ภายในเกิดออกมาอยู่ข้างนอกเป็นริดสีดวงภายนอกก็เลยเพิ่งนึก ว่าตัวเองเป็น ..... บางคนก็ไม่เป็นริดสีดวงภายในเวลาเป็นก็เป็นริดสีดวงภายนอกเลย ... ดังนั้นระยะเวลาการรักษาเลยไม่เหมือนกันคะ 4.เป็นมากเป็นน้อย ... บางคนเป็นแค่นิดเดียวการรักษาก็ไวหน่อย บางคนเป็นมากหัวโตก็ช้าหน่อย บางคนมีแค่หัวเดียว บางคนหัวริดสีดวงแตกมีหลายหัว 5. ติ่งแข็งมั้ย .. ถ้าติ่งแข็งหรือเริ่มแข็งคือไม่นิ่มเหมือนเนื้อปกติก็ต้องให้เวลาตัวยาละลาย ติ่งให้นิ่มก่อน เพราะถ้าติ่งเริ่มแข็งกว่าเนื้อปกติหรือกลายเป็นไตไปแล้ว (ติ่งแข็งแบบตายด้าน) กว่าติ่งจะรับยาได้ก็ต้องใช้เวลา 6. ท้องผูก ต้องออกแรงเบ่งบ่อยมั้ย .... ถ้าท้องผูกและต้องออกแรงเบ่งบ่อยริดสีดวงก็จะหายช้ามาก 7. ท้องเสีย หรือ ถ่ายเหลว บ่อยมั้ย ... ถ้าท้องเสียหรือถ่ายเหลวเป็นประจำก็จะหายช้า เนื่องจากการถ่ายเหลวก็เหมือนกับลำไส้ทำงานไม่ปกติค่ะ และการถ่ายเหลวนี่ก็อาจทำให้หัวริดสีดวงไม่หายซักที หรืออาการริดสีดวงเกิดการกำเริบได้ ... เมื่อเราต้องถ่ายเหลว หรือท้องเสีย อาจ จะทำให้หัวของริดสีดวงใหญ่ขึ้น หรือมีอาการถ่ายเป็นเลือด เพราะอุจจาระที่ถูกขับออกมาอย่างแรง อาจทำให้เยื่อบุทวารหนักอักเสบ เป็นผลทำให้หลอดเลือดของทวารหนักขยายตัวและไม่หดกลับ --------------------------------------------------- สอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ |
มดแดง |
สวัสดีครับ ธาตุเริ่มปกติครับ เลยคิดว่าจะทานยาก่อนอาหารต่อไป การขับถ่ายก็ตรงเวลาได้สองวันแล้วครับ (เช้า 6.30) แต่ช่วงนี้ลมในท้องเยอะ รู้สึกโครกครากช่วงท้องส่วนล่างประมาณช่วงหลังมื้อเที่ยงน่ะครับ -- เกี่ยวกับสมุนไพรมั้ย -- หรือว่าเพราะมื้อเช้าเราทานน้อยเกินไป ทำให้ท้องว่าง เลยเกิดลมครับ? สถานการณ์ล่าสุดคือ เมื่อเที่ยงเผลอไปนั่งจะถ่ายครับ ออกมานิดเดียว รูทวารเลยเปิดน้อย ทีนี้ก็ดันติ่งกันเต็มที่เลย ผลก็คือ มีอาการปวดมานิดนึง เพราะเราดัน แต่ไม่มีเลือดหยดครับ (ซึมที่กระดาษมาหยดนึง) -- ชักอยากแช่น้ำอุ่นแล้วสิ -- |