ถ้าอ่านตามที่ตอยให้ในกระทู้อื่นๆนะคะ จะแจ้งไว้เลยค่ะ ว่าถ้ามีแต่อาการถ่ายเป็นเลือด ภายใน 15 วัน ดีขึ้นหรือหานค่ะ .. แต่กรณีที่มีติ่งออกมาแล้ว ต้องใช้เวลาค่ะ .. บางนที่ร่างกายรับยาไว หรือเพิ่งเป็นแล้วรีบรักษา คือยังอยู่ในระยะที่ 1 หรือ 2 แบบนี้จะเร็วหน่อย แต่ถ้าร่ายกายรับยาช้า และเป็นมานานมากแล้ว ให้ดูเดือน ที่ 2 เข้าเดือนที่ 3 ติ่งจะค่อยๆ เริ่มฝ่อ แต่ต้องดูแลตัวเอง เรื่องการทานอาหาร และ การขับถ่าย ต้องขับถ่ายให้เป็นปกติ อย่าให้ท้องผูก หรือ ท้องเสีย ขนาดยาแผนปัจจุบันยังทานได้แค่ทุเลาลง และใช้เวลานาน ถ้าเคยพูดคุยกับคนที่เคยเป็นหรือคนที่เคยผ่าตัดนะคะ จะทราบว่า เค้าจะต้องทานยาแผนปัจจุบันตามที่คุณหมอจ่าย ทานไปเรื่อยๆ จนติ่งออกมาข้างนอกถาวรแล้วเค้าก็จะแนะนำให้ผ่าตัด ... พอผ่าตัดแล้ว ส่วนมาก (ร้อยละ 90 ) ไม่เกิน 3 ปี กลับมาเป็นใหม่เกือบทกคน .. ที่กล่าวมาคือต้องการแจ้งให้ทราบว่า ขนาดยาแผนปัจจุบันยังทานกันเป็นปีเลยนะคะ ... บางคนทานไปเกิดการดื้อยาอีก ต้องเพิ่มขนาดการรับประทานยาขึ้น ... ยาของทางบริษัทเป็นยาแผนโบราณอยากให้ทุกคนที่ทานใจเย็นนิดนึงนะคะ ... แล้วอีกอย่างเป็นมาเกือบ 10 ปี ... ขอเวลานห่อยนะคะ อย่าใจร้อน ...
------------------------------------------------------
เรื่องการทานยานานเท่าไหร่ เราไม่สามารถระบุให้ได้ ... ขนาดยาแผนปัจจุบันยังรักษากันหลายปี ไม่หายเลยค่ะ สุดท้ายก็ต้องผ่าตัด บางคนผ่าตัดแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ ...
ถ้ากรณีที่มีเม็ดมีหัวออกมาแล้วเราสรุปเวลาที่แน่นอนให้ไม่ได้คือเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง แต่รับรองคะว่าหายแน่คะ ปัจจัยที่ว่านะคะ …
1. พฤติกรรมการรับประทานยา .. ถ้าทานต่อเนื่องและทานได้วันละ 3 เวลา ครั้งละ 2 แคปซูล ช่วงที่ท้องว่าง (เนื่องจากยาไม่มีฤทธิ์กัดกระเพาะ) และ ถ้าทานตอนที่ท้องว่างพอแคปซูลละลายตัวยาจะได้ดูดซึมเลย ประสิทธิภาพของยาก็จะออกได้ประมาณ 80-90 % แต่ถ้าทานตอนช่วงที่ทานอาหารแล้ว.. ยาอาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่เนื่องจากอาหารดูดซึมตัวยาไปบางส่วนแล้ว ... ประสิทธิภาพอาจเหลือแค่ 50 % .... และบางคนลืมทานยาบ่อยมั้ย ดังนั้นเลยไม่สามารถบอกเลยคะว่าทานนานแค่ไหน แต่ถ้าทานต่อเนื่อง เข้าเดือนที่ 2-3 ก็น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วคะ .. บางคนก็เร็วกว่านั้น
2. บริเวณที่เกิดการอักเสบหรือบริเวณเส้นเลือดดำที่โป่งพองแล้วแตกหรืออักเสบทำให้เกิดเม็ดเกิดหัว .... เพราะถ้าหัวริดสีดวงหรือบริเวณที่อักเสบที่เส้นเลือดดำภายใน ถ้าเกิดบริเวณที่อุจจาระไปโดนเวลาถ่ายก็มีโอกาสเจ็บอยู่แล้วคะและเวลาเวลา ขับถ่ายอุจจาระ อุจจาระก็ต้องไปโดนไปเสียดสีทุกครั้งดังนั้นแผลก็จะแห้งช้ากว่า คนที่บาดแผลหรือบริเวณที่อักเสบหรือตำแหน่งที่เกิดหัวริดสีดวงไม่ใช่บริเวณ ที่เวลาถ่ายอุจจาระแล้วอุจจาระไปโดน ......
3.เป็นมานานแล้วหรือยัง... บางคนเป็นริดสีดวงแล้วไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคือ เกิดริดสีดวงภายในก่อนเป็นมานาน แล้วพอหัวที่อยู่ภายในเกิดออกมาอยู่ข้างนอกเป็นริดสีดวงภายนอกก็เลยเพิ่งนึกว่าตัวเองเป็น ..... บางคนก็ไม่เป็นริดสีดวงภายในเวลาเป็นก็เป็นริดสีดวงภายนอกเลย ... ดังนั้นระยะเวลาการรักษาเลยไม่เหมือนกันคะ
4.เป็นมากเป็นน้อย ... บางคนเป็นแค่นิดเดียวการรักษาก็ไวหน่อย บางคนเป็นมากหัวโตก็ช้าหน่อย บางคนมีแค่หัวเดียว บางคนหัวริดสีดวงแตกมีหลายหัว
5. ติ่งแข็งมั้ย .. ถ้าติ่งแข็งหรือเริ่มแข็งคือไม่นิ่มเหมือนเนื้อปกติก็ต้องให้เวลาตัวยาละลายติ่งให้นิ่มก่อน เพราะถ้าติ่งเริ่มแข็งกว่าเนื้อปกติหรือกลายเป็นไตไปแล้ว (ติ่งแข็งแบบตายด้าน) กว่าติ่งจะรับยาได้ก็ต้องใช้เวลา
6. ท้องผูก ต้องออกแรงเบ่งบ่อยมั้ย .... ถ้าท้องผูกและต้องออกแรงเบ่งบ่อยริดสีดวงก็จะหายช้ามาก
7. ท้องเสีย หรือ ถ่ายเหลว บ่อยมั้ย ... ถ้าท้องเสียหรือถ่ายเหลวเป็นประจำก็จะหายช้า เนื่องจากการถ่ายเหลวก็เหมือนกับลำไส้ทำงานไม่ปกติค่ะ และการถ่ายเหลวนี่ก็อาจทำให้หัวริดสีดวงไม่หายซักที หรืออาการริดสีดวงเกิดการกำเริบได้ ... เมื่อเราต้องถ่ายเหลว หรือท้องเสีย อาจจะทำให้หัวของริดสีดวงใหญ่ขึ้น หรือมีอาการถ่ายเป็นเลือด เพราะอุจจาระที่ถูกขับออกมาอย่างแรง อาจทำให้เยื่อบุทวารหนักอักเสบ เป็นผลทำให้หลอดเลือดของทวารหนักขยายตัวและไม่หดกลับ
---------------------------------------------------
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
1. การทานอาหารแสลง ... ถ้ามีอาหารที่เรารู้ว่าแสลงกับอาการริดสีดวงของเราก็ต้องงดก่อนนะคะ เพราะถ้าไปทานเดี๋ยวเกิดอาการอักเสบขึ้นมาอีก หรือ พอติ่งเริ่มหดแล้ว ก็จะออกมาอีก ... ช่วงนี้ลองงดอาหารแสลง ... ริดสีดวง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ .. อาหารรสชาติเผ็ด หรือเปรี้ยว เนื้อวัว ของหมักดอง ปูเค็ม ปลาเค็ม ปลาร้า ปลาหมึก กุ้ง ข้าวเหนียว หน่อไม้ แกงไตปลา น้ำบูดู แกงเหลือง ..หรืออหารตัวอื่นที่เราคิดว่าแสลง .. ถ้าทานอาหารพวกนี้อยู่รบกวนงดอาหารพวกนี้ก่อนนะคะ เพราะอาการริดสีดวงอาจจะแสลงกับอาหารตัวใดตัวหนึ่ง
2. อากัปกิริยา ... นั่ง ยืน เดิน การก้มยกของหนัก .. นานเกินไป การที่เรานั่งเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้เกิดการกดทับบริเวณติ่ง .. ต้องมีการลุกยืดเส้นยืดสายบ้างนะคะ .. การยืนนานๆ ก็จะเกิดการเกร็ง .. ส่วนการเดินนานๆ ก็จะเกิดการเสียดสีตลอดเวลาค่ะ...
3. ห้ามออกกำลังกายหักโหม โดยเฉพาะการวิ่ง หรือเดิน นานๆ... เนื่องจากติ่ง/หัว ริดสีดวง อาจเกิดการเสียดสี .. ทำให้อักเสบมากขึ้น ..
4. นิสัยการขับถ่าย .. ถ้ามีอาการท้องผูกเป็นประจำ ต้องดูแลตัวเองด้วย ไม่งั้นจะหายช้า และพอจะหาย พอเราเริ่ม เบ่งถ่าย ก็จะเกิดการอักเสบอีก.. ลองทานอาหารที่มีกากใยมากๆนะคะ และดื่มน้ำมากๆด้วย จะช่วยเรื่องท้องผูกค่ะ.. การนั่งขับถ่ายนานๆไม่ดีนะคะ เพราะจะทำให้ติ่งออกมาอีกได้ง่ายขึ้นค่ะ ... หรือถ้ามีการถ่ายเหลวหรือท้องเสียบ่อย... ต้องรีบดูแลตัวเองเลย เพราะบางรายเวลากำเริบหนักกว่าท้องผูกอีก และรักษายากกว่า ..
5. ถ้ามีเวลาอยากให้นั่งแช่น้ำอุ่นบ้าง เลือดบริเวณที่คั่งอยู่จะได้คลายบ้าง... เลือดจะได้ไหลเวียนได้สะดวก เวลานั่งนะคะ .. อยากให้นั่งลงไปเลยหรือนั่งบนห่วงยางนั่งอ่านหนังสือ หรือดูหนังก็ได้ ประมาณ 10 นาที ... แต่ห้ามนั่งยองๆนะคะ เดี๋ยวติ่งริดสีดวงจะยิ่งออกมา ...
------------------------------------------------------
วิธีการรับประทานยา .... กรณีธาตุปกติ หรือ ธาตุแข็ง -- ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงคะ (ควรทานยาก่อนอาหารเพราะร่างกายจะได้นำยาไปใช้ได้เต็มที่คะ ถ้าทานพร้อมมื้ออาหารประสิทธิภาพของยาก็จะลดลงไปด้วย) ... และควรทานยาต่อเนื่องนะคะ ไม่ควรทานๆหยุดๆคะ ... เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง
กรณีธาตุอ่อนมากหรือขับถ่ายบ่อย หรือถ่ายเหลวบ่อย -- ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 เวลา หลังอาหาร 2-3 ชั่วโมงคะ
สอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ หรือโทรมาคุยกันก็ได้นะคะ ทางบริษัทมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษา .. จ-ศ เวลา 8.00 - 16.30 น.เสาร์ เวลา 8.00 - 14.30 น.วันอาทิตย์หยุดค่ะ