ตำรับยาชื่อ ... ยาริดสีดวงทวาร ตรา ภูหลวง ..
ตัวแทนจำหน่าย ดูได้จาก หน้าเวป ตรงเมนูด้านบน หรือด้านซ้ายค่ะ จะเขียนว่าตัวแทนจำหน่าย ...
อยู่ที่ อำเภอ-จังหวัด อะไรคะ เดี๋ยวดูตัวแทนจำหน่ายให้ค่ะ
เรื่่องราคา จะมี 2 ขนาดค่ะ คือ (ห้ามจำหน่ายเกินราคานี้) --
1. ขนาด 50 แคปซูล ราคาปลีก 180 บาท (ทานได้ประมาณ 8 วัน)
2. ขนาด 100 แคปซูล ราคา 300 บาท (ทานได้ประมาณ 16 วัน)
---------------------------------------------------------------------------
มีเนื้องอกออกมาถ้าถ่ายแล้วต้องเบ่งก็จะใหญ่ขึ้นแต่ไม่มีเลือดออกนะคะ...
ถ้าเป็นติ่งจากริดสีดวงทวารแบบ 100 % คือ ติ่ง/หัว ออกมาจากทวารหนัก ถ้ากรณีที่ติ่งที่อยู่รอบทวารหนัก อาจเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ .. แต่ถ้ามีอาการท้องผูก ต้องถ่ายเบ่ง และการพึ่งยาระบายบ่อยๆ ... ก้อนเนื้อนี้อาจเป็นการโป่งพองจาการออกแรงเบ่งบ่อยๆก็ได้ค่ะ ... ซึ่งโอกาสการเป้นริดสีดวงทวารค่อนข้างสูง
ปกติแล้วคนที่เป็นริดสีดวง บางคนมีอาการถ่ายเป็นเลือด บางคนก็ไม่มี --- บางคนมีอาการคันร่วมด้วย บางคนก็ไม่มี – บางคนมีอาการเจ็บ บางคนก็ไม่มี สาเหตุที่แต่ละคนมีอาการไม่เหมือนกันเนื่องจากต้องดูด้วยว่าเส้นเลือดดำที่โป่งพอง หรือ อักเสบ ภายในทวารหนัก เกิดขึ้นบริเวณไหน ถ้าเกิดบริเวณที่เวลาถ่ายอุจจาระ แล้วไปโดน เสียดสีกับเส้นเลือดดำที่อักเสบหรือโป่งพองอยู่ เวลาถ่าย ก็จะเจ็บ แสบ และ มีโอกาสมีเลือดปะปนออกมา แต่ถ้าจุดที่เกิดหัว หรือเส้นเลือดที่อักเสบ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งที่อุจจาระไปโดน อาการถ่ายเป็นเลือด เจ็บ แสบ – บางคนก็ไม่มีอาการคะ
--------------------------------------------------------------
ยาตัวไหนที่รักษาได้คะ และต้องกินยาระบายด้วยรึป่าว
เรื่องยาระบายอาจต้องทานก่อน ไม่งั้นถ้าท้องผูก และต้องออกแรงเบ่งมากๆ ริดสีดวงก็จะหายช้า แต่อย่าทานจนถ่ายเหลวนะคะ .. อุจจาระควรจะยังเป้นก้อน ... และค่อยๆห่างยาระบายที่ทานนะคะ ... เช่น กินยา 3 วัน หยุด 1 วัน .... แล้วค่อยลด ทานยาระบาย 2 วัน หยุด 1 วัน .... ทานวันเว้นวัน ... ทานวันเว้น 2 วัน .... ค่อนๆลดปริมาณการทานยาระบายค่ะ ... และทานผักผลไม้เยอะๆ เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก อาหารที่ย่อยยากน้อยๆ... และดื่มน้ำเยอะๆ ...
--------------------------------------------------------------------
ยาของทางบริษัทเป็นยาตำรับคะ คือนำสมุนไพรหลายตัวที่มีประสิทธิภาพในการรักษามาผสมกันเพื่อใช้สำหรับรักษาโรค ริดสีดวงทวาร โดยตรง ทั้งริดสีดวงภายในและภายนอก ระยะที่ 1 - ระยะที่ 4
ถ้ากรณีมีหัวและมีติ่งแล้ว เราไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนให้นะคะ เพราะการรับยาของแต่ละคนไม่เท่ากัน ... ขอให้ทานยาได้วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงเพื่อการรักษาที่ต่อเนื่อง ... กรณีที่มีติ่งออกมาแล้ว ให้ดูตอนเข้าเดือนที่ 2-3 นะคะ (บอกแบบนานๆไว เพราะบางคนลืมทานยาบ่อย) จะเห็นการเปลี่ยนแปลงกับติ่งแน่นอนค่ะ ... บางทีถ้า เดือนสองเดือนแรกก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงสำหรับบางคน แต่เรายังอาจเห็นไม่ชัดเจน แต่พอเดือนที่ 3 น่าจะชัดแล้วว่าฝ่อ ...
------------------------------------------------------
เรื่องการทานยานานเท่าไหร่ เราไม่สามารถระบุให้ได้ ... ขนาดยาแผนปัจจุบันยังรักษากันหลายปี ไม่หายเลยค่ะ สุดท้ายก็ต้องผ่าตัด บางคนผ่าตัดแล้วก็กลับมาเป็นใหม่ ...
ถ้ากรณีที่มีเม็ดมีหัวออกมาแล้วเราสรุปเวลาที่แน่นอนในการทานยาให้ไม่ได้คือเพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ปัจจัยที่ว่านะคะ …
1. พฤติกรรมการรับประทานยา .. ถ้าทานต่อเนื่องและทานได้วันละ 3 เวลา ครั้งละ 2 แคปซูล ช่วงที่ท้องว่าง (เนื่องจากยาไม่มีฤทธิ์กัดกระเพาะ) และ ถ้าทานตอนที่ท้องว่างพอแคปซูลละลายตัวยาจะได้ดูดซึมเลย ประสิทธิภาพของยาก็จะออกได้ประมาณ 80-90 % แต่ถ้าทานตอนช่วงที่ทานอาหารแล้ว.. ยาอาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่เนื่องจากอาหารดูดซึมตัวยาไปบางส่วนแล้ว ... ประสิทธิภาพอาจเหลือแค่ 50 % .... และบางคนลืมทานยาบ่อยมั้ย ดังนั้นเลยไม่สามารถบอกเลยคะว่าทานนานแค่ไหน แต่ถ้าทานต่อเนื่อง เข้าเดือนที่ 2-3 ก็น่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วคะ .. บางคนก็เร็วกว่านั้น
2. บริเวณที่เกิดการอักเสบหรือบริเวณเส้นเลือดดำที่โป่งพองแล้วแตกหรืออักเสบทำให้เกิดเม็ดเกิดหัว .... เพราะถ้าหัวริดสีดวงหรือบริเวณที่อักเสบที่เส้นเลือดดำภายใน ถ้าเกิดบริเวณที่อุจจาระไปโดนเวลาถ่ายก็มีโอกาสเจ็บอยู่แล้วคะและเวลาเวลา ขับถ่ายอุจจาระ อุจจาระก็ต้องไปโดนไปเสียดสีทุกครั้งดังนั้นแผลก็จะแห้งช้ากว่า คนที่บาดแผลหรือบริเวณที่อักเสบหรือตำแหน่งที่เกิดหัวริดสีดวงไม่ใช่บริเวณ ที่เวลาถ่ายอุจจาระแล้วอุจจาระไปโดน ......
3.เป็นมานานแล้วหรือยัง... บางคนเป็นริดสีดวงแล้วไม่ทราบว่าตัวเองเป็นคือ เกิดริดสีดวงภายในก่อนเป็นมานาน แล้วพอหัวที่อยู่ภายในเกิดออกมาอยู่ข้างนอกเป็นริดสีดวงภายนอกก็เลยเพิ่งนึกว่าตัวเองเป็น ..... บางคนก็ไม่เป็นริดสีดวงภายในเวลาเป็นก็เป็นริดสีดวงภายนอกเลย ... ดังนั้นระยะเวลาการรักษาเลยไม่เหมือนกันคะ
4.เป็นมากเป็นน้อย ... บางคนเป็นแค่นิดเดียวการรักษาก็ไวหน่อย บางคนเป็นมากหัวโตก็ช้าหน่อย บางคนมีแค่หัวเดียว บางคนหัวริดสีดวงแตกมีหลายหัว
5. ติ่งแข็งมั้ย .. ถ้าติ่งแข็งหรือเริ่มแข็งคือไม่นิ่มเหมือนเนื้อปกติก็ต้องให้เวลาตัวยาละลายติ่งให้นิ่มก่อน เพราะถ้าติ่งเริ่มแข็งกว่าเนื้อปกติหรือกลายเป็นไตไปแล้ว (ติ่งแข็งแบบตายด้าน) กว่าติ่งจะรับยาได้ก็ต้องใช้เวลา
6. ท้องผูก ต้องออกแรงเบ่งบ่อยมั้ย .... ถ้าท้องผูกและต้องออกแรงเบ่งบ่อยริดสีดวงก็จะหายช้ามาก
7. ท้องเสีย หรือ ถ่ายเหลว บ่อยมั้ย ... ถ้าท้องเสียหรือถ่ายเหลวเป็นประจำก็จะหายช้า เนื่องจากการถ่ายเหลวก็เหมือนกับลำไส้ทำงานไม่ปกติค่ะ และการถ่ายเหลวนี่ก็อาจทำให้หัวริดสีดวงไม่หายซักที หรืออาการริดสีดวงเกิดการกำเริบได้ ... เมื่อเราต้องถ่ายเหลว หรือท้องเสีย อาจจะทำให้หัวของริดสีดวงใหญ่ขึ้น หรือมีอาการถ่ายเป็นเลือด เพราะอุจจาระที่ถูกขับออกมาอย่างแรง อาจทำให้เยื่อบุทวารหนักอักเสบ เป็นผลทำให้หลอดเลือดของทวารหนักขยายตัวและไม่หดกลับ
---------------------------------------------------
-- ทานยาวันนึงให้ได้ 3 เวลา ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง ... ถ้าเป็นมาก สามารถเพิ่มการทานยาก่อนนอนได้อีก 2 แคปซูล …..
-- ดูแลตัวเองอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเสีย ธาตุปกติดีที่สุด
-- อาหาร แสลงที่พบในหลายๆคน นะคะ ... บางคนก็ไม่แสลงนะคะ ... เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ .. เนื้อวัว ของหมักดอง ปูเค็ม ปลาร้า ปลาเค็ม ปลาหมึก กุ้ง หน่อไม้ ข้าวเหนียว แกงไตปลา น้ำบูดู แกงเหลือง .. อาหารรสชาติเผ็ด หรือเปรี้ยวมากเกินไป ... ถ้างดได้ควรงดก่อน
-- เรื่อง อากัปกิริยา ก็มีส่วนนะคะ ที่จะทำให้หายเร็วหรือช้า .... ควรจะดูแลตัวเองร่วมด้วยก็จะหายไวขึ้นค่ะ .... ถ้าต้องนั่งทำงานทั้งวัน ให้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดได้มีการไหลเวียนไม่ถูกกดทับนานเกินไป.... ถ้าต้องเดินนานๆ ก็อย่านานเกิน เพราะมันจะมีการเสียดมีนาน จะยิ่งทำให้อักเสบมากขึ้น ... พยายามอย่า ยืน เดิน นั่ง นานเกิน ให้ เปลี่ยนท่าบ้าง การนอน ถ้าเป็นไปได้ช่วงนี้พยายามนอนคว่ำหรือนอนตะแครง...และพยายามอย่าก้มยกของหนักด้วยนะคะ .. เพราะจะดันให้หัวริดสีดวงออกมาง่าย
--------------------------------------------
โดยส่วนมากแล้ว 90 % จะได้ผล จะมีแค่ 10 % ที่ไม่ได้ผล คือ
1. ใจร้อน
2. ท้องผูก ท้องเสียตลอดเวลา
3. ทานอาหารแสลงตลอดเวลา ทั้งๆที่รู้ว่าริดสีดวงของเราแสลงกับอาหารนั้น ...
4. ร่างกายไม่รับยาเลย ร่างกายรับยาของเราไม่ค่อยได้ เหมือนไม่ถูกกับยา .. แต่น้อยคนนะคะ ... เช่น เหมือนกับการที่เราทานยาแก้ปวดหัว ยี่ห้อ A แล้วไม่ได้ผล เหมือนไม่ถูกกับยา เลยต้องเปลี่ยนเป็นยี่ห้อ B C หรือ
สอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ